ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการประชุมวิชาการ Asia Pacific Association for Diabetic Limb Problems (APADLP) ครั้งที่ 21 ภายใต้หัวข้อ “Advancing Diabetic Foot Management: Innovations, Updates & Implementation”
สมาคม APADLP ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาวิทยาการและด้านการดูแลเท้าในผู้เป็นเบาหวานสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ปัจจุบันสมาคมมีสมาชิกมากกว่า 1,000 คน จากประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ที่มีแผลเบาหวานที่เท้า
ในปี 2568 กรุงเทพฯ ยังได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ 2 งานสำคัญ ได้แก่ World Diabetes Congress (เมษายน 2568) และ APADLP Conference (กันยายน 2568) โดยงาน APADLP จัดขึ้นเมื่อวันที่ 11–12 กันยายน 2568 ณ โรงแรม S.D. Avenue กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีรวมผู้เชี่ยวชาญระดับโลก แพทย์ พยาบาล นักวิจัย และนวัตกร เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ล่าสุด เทคโนโลยี และแนวทางการดูแลรักษาที่สามารถนำไปใช้จริง เพื่อพัฒนาผลลัพธ์ทางสุขภาพและลดภาระจากภาวะแทรกซ้อนของแผลเบาหวานที่เท้า
ในการประชุมครั้งนี้ คุณจีรพรรณ ศรีพัฒน์พงษ์ บุคลากรจากคลินิกเท้าและศูนย์ดูแลแผล โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้รับคัดเลือกให้นำเสนอผลงานวิจัย 2 เรื่อง ทั้งแบบบรรยายและโปสเตอร์ เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการรักษาแผลเบาหวานที่เท้าในผู้ป่วยโรคไตเสื่อมเรื้อรัง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการศึกษาต่างประเทศที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยไตเสื่อมเรื้อรังที่เกิดแผลเบาหวานที่เท้า มีอัตราการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตสูงขึ้น
โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ (ชื่อเดิม โรงพยาบาลเทพธารินทร์) ได้ก่อตั้งคลินิกเท้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 โดยใช้แนวทางมาตรฐานสากลในการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผล ในผู้เป็นเบาหวานทุกราย และผู้ป่วยที่มีแผลเบาหวานที่เท้าที่นอนรักษาส่วนใหญ่ เป็นผู้ป่วยส่งต่อจากสถานพยาบาลอื่นทั่วประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
ผลการศึกษายืนยันว่า การดูแลเชิงรุกและการส่งต่อผู้มีแผลเบาหวานที่เท้าอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในผู้ป่วยไตเสื่อมเรื้อรัง ระยะลุกลามหรือผู้ที่ได้รับการฟอกไต เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แม้จะมีความก้าวหน้าในการดูแลรักษาแผลเบาหวานที่เท้าอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังคงมีผลลัพธ์ไม่ดี ทั้งในด้านแผลและอัตราการเสียชีวิต ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างสถาบัน และการให้ความรู้แก่สาธารณชน จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในอนาคต